เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๗ ต.ค. ๒๕๖๑

เทศน์เช้า วันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๖๑

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เวลาหลวงตาท่านบอกเลย คนไม่มีอำนาจวาสนาไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนา คนจะนับถือพระพุทธศาสนาต้องเป็นคนที่มีอำนาจวาสนา

เพราะคนที่มีอำนาจวาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาตรัสรู้ธรรมขึ้นมาๆ พระพุทธศาสนาสอนที่สุดแห่งทุกข์ๆ ไม่มีศาสนาใดสอนที่สุดแห่งทุกข์ ไปให้พระเจ้าพยากรณ์ทั้งนั้น มีพระพุทธศาสนาเท่านั้นที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์สิ้นจากทุกข์ แล้วสิ้นอย่างไร

นี่ไง ศาสนาพุทธนี่สุดยอด ยอดเยี่ยม เยี่ยมมาก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ กราบธรรมในใจองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ฉลาดนะ ในบรรดาสัตว์สองเท้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุดๆ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบอะไร กราบธรรมๆ กราบธรรมคือสัจธรรมในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในพระพุทธศาสนาสอนถึงที่สุดแห่งทุกข์ไง สอนเข้าไปที่ไหน สอนเข้าไปที่ใจของสัตว์โลก

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ๆ รื้อสัตว์ขนสัตว์อย่างไร

อนุปุพพิกถา ทาน ศีล ภาวนา เริ่มต้นจากการเสียสละ การทำทานๆ แม้แต่สัตว์นะ สัตว์ที่มันมีปัญญา สัตว์ที่มันเป็นสัตว์ประเสริฐ สัตว์ที่มันดีมันยังแบ่งปันให้สัตว์ด้วยกัน สัตว์ด้วยกันมันไปคาบอาหารมา ไปล่ามาเพื่อให้หมู่ของมัน แม้แต่สัตว์มันยังรู้จักเสียสละเลย เวลาลัทธิศาสนาอื่นเขาก็มีการเสียสละๆ นี่เสียสละก็เสียสละแบบสัญชาตญาณไง

ในพระพุทธศาสนาเสียสละทานๆ ทาน ศีล ภาวนา

ทาน ศีล ภาวนา ทาน ผู้มีจิตใจที่ประเสริฐเวลาเขาทำบุญกุศลของเขา เขาเคารพในทานของเขา ในทานของเขานะ เห็นไหม เราเกิดมาเป็นมนุษย์ต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัยนะ เราต้องหาอยู่หากิน เราหาปัจจัยเครื่องอาศัยนี้เป็นสมบัติของเราๆ ทำไมเราต้องเสียสละล่ะ

ไอ้พวกจิตใจมันหยาบช้านะ พระก็ไถนาสิ พระก็ทำกินสิ พระลูกตุ้มสังคม พระเอารัดเอาเปรียบ พระเอารัดเอาเปรียบทั้งนั้นเลย นั่นเขามองถึงพระที่แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน แต่เขาไม่เห็นหรอกเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ของเราที่ยิ่งใหญ่

หลวงปู่หล้าๆ หลวงตาท่านเล่าให้ฟัง ถือธุดงควัตร ไปบิณฑบาตมานะ ธุดงควัตรในบ้านนอกมันก็ไม่มีจะกินอยู่แล้ว เขาไม่มีจะกินเขาจะเอาอะไรให้ เขาก็ให้ตามแต่บ้านนอกที่เขามี เพราะคนบ้านนอกด้วยกันได้สิ่งใดที่มันถูกธาตุขันธ์ คนมันเคยกินอย่างไรมามันก็ว่าสิ่งนั้นมันก็มีคุณค่ากับมัน พอตกบาตรมา จับปาทิ้งเลย อะไรที่ชอบ จับปาเข้าป่า เอาแต่สิ่งที่ไม่ชอบๆ เห็นไหม คนจิตใจที่เขายิ่งใหญ่เขาภิกขาจารเพื่อเลี้ยงชีพ เลี้ยงชีพไว้เพื่อประพฤติปฏิบัติ เขาไม่เห็นคุณค่าของสิ่งที่กินแล้วก็นอนเหมือนหมูนั่นหรอก

เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านบอก นั่นน่ะ กินแล้วนอน กอนแล้วนิน หมูทั้งนั้นน่ะ แต่คนที่เขามีสติมีปัญญาของเขา เขาเป็นสัปปายะเพื่อดำรงชีพๆ แล้วคนที่จิตใจเขาสูงส่งเวลาเขาจะเสียสละทานของเขา เขาเคารพในทานของเขานะ เขาเคารพในทานของเขา เพราะอะไร เพราะเขามีเกียรติ เขามีเกียรตินะ เขาแสวงหาของเขามา ของนี้มีคุณค่ากับเขา เขาเสียสละด้วยหัวใจเขาสูงส่งของเขา เขาเคารพของเขา เขาทำบุญกุศลของเขาด้วยการเคารพ ใส่บุญคนด้วยมารยาท ไม่ใช่ใส่บาตรไปฟ้อนรำไปด้วย ใส่บาตรไปเหยียบย่ำเขาไปด้วย นั่นน่ะจิตใจที่มันต่ำต้อยไง

นี่ไง เวลาจิตใจที่ต่ำต้อยนะ เวลาทำบุญกุศลขึ้นมาไม่ยอมเสียสละ สละไม่ได้ ของกูๆ นี่ความตระหนี่ถี่เหนียวไง แต่เวลาเสียสละขึ้นมา จิตใจที่ต่ำช้า เสียสละก็จะเหยียบย่ำเขาไปทั่ว ใส่บาตร ใส่บาตรนะ ใส่บาตรๆ ถ้าเขาไม่มองหน้าตัวไม่ใส่ ทำไมต้องเป็นอย่างนั้น

นี่ไง แต่ถ้ามันเป็นจริงๆ เขาทำด้วยความเคารพๆ นี่ระบบของทานนะ ถ้ามันมีทาน มีบุญกุศลขึ้นมา ทาน ศีล ภาวนา เวลาจะมีศีลๆ ขึ้นมา ทาน ศีล เวลามีศีลขึ้นมา ไม่พูดปดมดเท็จ มันไม่พูดปดมดเท็จหรอก มันปั้นน้ำเป็นตัว มันปั้นน้ำเป็นตัวๆ เลย มันสร้างเกณฑ์สร้างปัญหาทำลายยุแหย่ ยุแยงตะแครงรั่ว ถือศีล ถือศีลขึ้นมาน่ะมันปั้นน้ำเป็นตัว สร้างแต่ปัญหา นั่นถือศีลหรือ

เวลาถือศีลๆ ขึ้นมา พอศีล อู๋ย! ศีลมันถือยาก ศีลนี่ทำอะไรไม่ได้เลย ศีล ๕ รักษาไม่ได้ๆ มันทำไม่สะดวก ทุกอย่างไม่สะดวกหมดเลย นี่เวลากิเลสมันหนา เวลากิเลสมันหนามันปั้นน้ำเป็นตัวเลยนะ แล้วเวลาภาวนา ทาน ศีล ภาวนา ทาน ศีล ภาวนา เวลาภาวนาขึ้นมา ภาวนาขึ้นมามันไม่เกิดภาวนามยปัญญา

แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จิตนี้กลั่นออกมาจากอริยสัจ อริยสัจคืออะไร ทุกข์ ทุกข์เหตุให้เกิดทุกข์ เวลาบอกทุกข์ๆ ทุกคนวิ่งหนีหมดเลย “เรามาหาความสุข ไม่ใช่หาความทุกข์ เรามาหาความสุข”

เวลาไปโรงพยาบาลน่ะ ถ้าหมอเขาวินิจฉัยโรคไม่ได้ เขารักษาไม่ได้หรอก ไปโรงพยาบาลทุกข์ๆ ไปโรงพยาบาลที่ทะเลาะกันอยู่นี่เพราะว่าหมอวินิจฉัยโรคช้า หมอไม่วินิจฉัยโรค หมอไม่รักษา ทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่อย่างนั้นน่ะ แล้วคนไข้ก็จะเอาแต่ใจของตน มาถึงก็ให้หมอรักษาเลย มาถึงหมอก็เข็นเข้าห้องดับจิตไปเลย จบ ไม่ต้องรักษา เพราะมันเอาแต่ใจของมัน มันเป็นไปไม่ได้

ทุกข์ ทุกข์คืออะไรล่ะ ทุกข์คือความรำคาญ ทุกข์คือความไม่พอใจ ทุกข์ในหัวใจของเรานี่ เอ็งเคยค้นคว้าหาตัวไหม เวลาทุกข์ ไปหาอยู่ข้างนอกนู่น

ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ไปหาที่เหตุนั้น หาที่เหตุนั้นด้วยอะไร เวลานิโรธดับทุกข์ ดับทุกข์ด้วยมรรคๆ ไง ด้วยมรรค ด้วยสติด้วยปัญญา ถ้ามันเป็นความจริง เห็นไหม ถ้าเป็นความจริงๆ

แต่นี่มันเป็นความจอมปลอม มันร้ายกาจนะ มันร้ายกาจ ถ้าเป็นหัวหน้าแล้วยังทุจริต หัวหน้าไม่รู้สิ่งใดเลย แล้วพาหมู่คณะไปลุยน้ำลุยไฟโดยที่ความมืดบอด มันอันตราย แต่มันก็เป็นกรรมของสัตว์โลก กรรมของสัตว์โลกมันเชื่ออย่างนั้นน่ะ เชื่ออะไรที่มันได้มาง่าย เชื่ออะไรที่เขายกย่องสรรเสริญ เชื่ออะไรที่เขายกย่องบูชา

โมฆบุรุษตายเพราะลาภ เวลาทำทานๆ ทำทานใส่บาตรก็อยากจะให้มองหน้าฉันหน่อยหนึ่ง ไอ้พระก็เหมือนกัน ไอ้พระนี่ลาภสักการะ ไอ้สิ่งที่ได้มาด้วยลาภ สักการะนะ ถ้าเขาไม่ยกมือไหว้ ไม่ถามสารทุกข์สุกดิบ อู๋ย! ไม่ดี อันนี้ไม่ดี อู๋ย! ถ้าเขาใส่บาตรด้วย นี่ได้ลาภ ได้สักการะด้วยนะ โอ๋ยหลวงพ่อสุดยอดๆๆ โอ้โฮ! อาหารคนนั้นยอดเยี่ยมเลย ยอดเยี่ยม ลาภสักการะ

กิเลสมันอยู่ที่บริษัท ๔ คฤหัสถ์ อุบาสก อุบาสิกา ถ้าเขามีกิเลสก็คือกิเลส ภิกษุบวชมาแล้วมีกิเลสก็คือมีกิเลส นี่มันมีกิเลส แล้วพอกิเลส กิเลสมันปิดหูปิดตา พอปิดหูปิดตาขึ้นมามันจะเอาแต่วัตถุ โลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ มันอยากได้ลาภ อยากได้สักการะ อยากได้การยอมรับ อยากได้การนับถือ กิเลสทั้งนั้นน่ะ นี่ถ้าเป็นวัตถุๆ นะ

เวลาหลานพระสารีบุตรไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เราไม่พอใจสิ่งต่างๆ ไม่พอใจทั้งนั้นเลย ถ้าเธอไม่พอใจสิ่งต่างๆ เธอก็ไม่พอใจอารมณ์ความรู้สึกของเธอด้วย เพราะอารมณ์ความรู้สึกของเธอก็เป็นวัตถุอันหนึ่งๆ เราต้องการแต่วัตถุ เราต้องการแต่สิ่งที่จับต้องได้ไง แต่เวลาคน ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด เวลาคนจะเป็นจะตาย นี่ผลของวัฏฏะๆ เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ

ทำบุญกุศล ทำทานๆ ทำทานนี่เป็นบุญของเราอยู่แล้ว ถ้าเราเคารพในทานของเรา เคารพในสิทธิเสรีภาพของเรา ถ้าเราเคารพเราแสดงว่าเรามีสติมีปัญญาของเรา คนที่มีสติปัญญาเขาจะนิ่งของเขา เขาไม่ตื่นเต้นไม่สั่นไหว ไม่เป็นเหยื่อของสังคม ไอ้คนที่ว่างเปล่า ไอ้คนที่ไม่มีสิ่งใดเป็นแก่นสาร มันจะเป็นเหยื่อทั้งนั้นน่ะ อยากได้อยากดี อยากได้ของเขาทั้งหมดเลย แล้วเขาก็มาหลอกมาล่อนะ เอาไปเป็นเหยื่อของเขา เห็นไหม

แต่คนถ้ามีสติมีปัญญาในหัวใจของตนน่ะ มันจะเป็นเหยื่อของใคร เราทำมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของเรานะ สิ่งที่เราได้มาด้วยมาจากน้ำพักน้ำแรงของเรา มีใครจะมาให้เราฟรีๆ เป็นไปไม่ได้

นี่ก็เหมือนกัน ทานๆ ทานที่เราทำบุญกุศลของเรา บุญกุศลเราให้ไปแล้ว สิ่งที่เราเสียสละไปแล้วมันเป็นทิพย์สมบัติๆ ทิพย์สมบัติที่ไหน ทิพย์สมบัติที่มันเสียสละไปจากหัวใจนี้ มันเจตนาในหัวใจนี้ จิตตคหบดีๆ เวลาเขาจะตายน่ะ บ๊ายบาย จะไปนิมมานรดี เทวดามารับนะ เวลาคนเขาจะตาย เรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นเยอะแยะไปหมด จิตที่มันทำบุญกุศลของมันจนบุญกุศลมันสูงส่ง บุญกุศลของมันนะ เวลาเขาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ

นี่ไง เราจะบอกว่า สิ่งที่มันจะไปกับจิตดวงนี้คือบุญกุศลของเรา ทำทาน ทำทานที่ว่าไม่ได้ผลๆ ที่เราปรารถนาหวังผลได้ผลกันอยู่นี่ นี่มันเป็นวัตถุทั้งนั้น วัตถุที่เราเสียสละออกไปมันจะได้วัตถุที่ตอบสนองกลับมา ทำบุญแล้วจะร่ำรวย ทำบุญแล้วจะมีสถานะสูงส่ง

มีแต่สูงส่งร่ำรวยอยู่ที่การกระทำ สูงส่งก็อยู่ที่สติปัญญาของตน ถ้ามันทำของเรา เห็นไหม ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ เราสร้างแต่คุณงามความดีของเรา สิ่งที่มันอยากได้ๆ ไม่ต้องอยากได้มันก็ได้

คนที่เขาสูงส่ง ทุกคนที่มีชื่อเสียงเขาขออย่างเดียวเลย ขอความเป็นส่วนตัว เวลาสูงส่งมาล้อมหน้าล้อมหลัง มันตกทุกข์น่ะ เวลามันสูงส่งขึ้นมามีคนมาล้อมหน้าล้อมหลังนี่มันไม่มีเวลาส่วนตัวเลย เวลาสูงส่งขึ้นมาๆ ขอเวลาส่วนตัวๆ เวลาอย่างนี้ก็ปากกัดตีนถีบจะขึ้นไปอยู่จุดนั้น นี่ไง ถ้าคนที่มีสติมีปัญญาเขาไม่ขาดสติขนาดนั้น

นี่พูดถึงทานนะ เวลาทานๆ สิ่งที่ได้มาๆ มันเป็นบุญกุศล บุญกุศลมันเข้ากับหัวใจ หัวใจ จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันเอาสิ่งใดที่เป็นวัตถุไปกับมันไม่ได้ ถ้ามันเอาสิ่งใดที่เป็นวัตถุไปกับมันได้ คนเรา นาย ก. ไปเกิดเป็นชาติหน้าแล้วมาบอกด้วยนะว่าเกิดเป็นอะไร

สิ่งที่เป็นความคิด สิ่งที่เป็นความคิดที่เป็นวัตถุมันยังเอาไปไม่ได้เลย เอาไปไม่ได้เลย แต่ทำไมมันระลึกชาติได้ล่ะ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขาราปจฺจยา วิญฺญาณํ

อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ปัจยาการนั่นน่ะ นั่นน่ะความจำอย่างละเอียด สัญญาอย่างละเอียดไง แล้วถ้าเกิดมาเป็นมนุษย์มีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ สัญญา สัญญาก็จำได้แต่ภพชาตินี้ไง

ถ้ามันจำภพชาตินี้ไว้ ภพชาตินี้เวลาย่อยสลาย เวลามันจะตาย มันซึมซับเข้าไปอยู่ในจิตดวงนั้นไง แล้วจิตดวงนั้นเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เวลาเขาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ บุญกุศล เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมบุญญาธิการมาเป็น ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย ถ้ามันขาดตอน ไม่มีผลนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างไร

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะอะไร เพราะบุญบารมีเต็ม นี่พร้อมๆ ทำมาพร้อมจะมาตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การทำมาพร้อมๆ แต่ละภพแต่ละชาติที่สะสมกันมาไง นี่ไง สิ่งที่เป็นวัตถุมันไปสิ่งนั้นไม่ได้ แต่บุญกุศล บุญกุศลที่เราสร้างอยู่นี่มันไปกับจิตดวงนั้นไง จิตดวงนั้น สิ่งที่เป็นนามธรรม สิ่งที่เป็นบุญกุศลมันไปกับจิตดวงนั้น นี่ผลของวัฏฏะมันไปกับวัฏฏะนั้นน่ะ นี่ผลของทาน

ผลของศีล สีเลน สุคตึ ยนฺติ สีเลน โภคสมฺปทา ผู้รักษาศีลๆ โภคทรัพย์มันก็เกิดขึ้น มีความสุขเกิดขึ้น ถ้ามันถือศีลโดยซื่อสัตย์ ถือศีลโดยสัมมาทิฏฐิไง ไม่ใช่มิจฉาทิฏฐิไง มือถือสาก ปากถือศีล อู๋ย! ถือศีลๆ นะ มันปั้นน้ำเป็นตัวๆ เลย มันสร้างเกมทำลายเขาทั่วเลย ถือศีล นี่ไง เวลาบอกว่า โอ๋ย! พูดปดไม่ได้ โกหกไม่ได้ ไอ้นี่มุสาๆ มันไม่ใช่มุสานะ สร้างเรื่องเลย นี่ไง เวลามันทุศีล เวลามันปิดบังตัวมันเอง

ศีล ความปกติของใจๆ ถ้าศีลมันเป็นมิจฉา มันทำลายตัวมันเอง ทำลายตัวมันเองด้วยบาปด้วยกรรมนะ แต่ตัวเองคิดว่าตัวเองมีอำนาจวาสนา ตัวเองทำสิ่งใดได้นะ พระพุทธศาสนา หลักการในพระพุทธศาสนา อริยสัจ อริยสัจสอนเข้ามาที่ใจของเรานี่

ทาน ศีล ภาวนา ศีลคือความปกติของใจๆ ไม่ทำสิ่งใดก็ไม่ผิด ไม่ทำสิ่งใดก็ไม่ผิดแล้วมันคิดทำไมล่ะ เวลามันคิดขึ้นมามันอัดอั้นตันใจนะ มโนกรรม คนเราทำสิ่งใดเกิดจากความคิด ความคิดความอ่านมันจะชักลากหัวใจนี้ไป มันถึงต้องมีทาน มีศีล แล้วฝึกหัดภาวนาๆ ถ้าภาวนานี่เอาแล้ว นี่แหละมันจะไปสำรอกมันจะไปคาย มันจะไปทำลาย ทำลายอวิชชา ทำลายกิเลสตัณหาความทะยานอยาก

ในโลกนี้ว่าสันดาน ทำอะไรก็ได้ แก้อะไรก็แก้ได้ แก้สันดานไม่ได้ สันดานแก้ไม่ได้ๆ ถ้าสันดานที่ยังมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากอยู่ พญามาร ขันธมาร มารมันทำลายล้าง

แต่เวลาพระอรหันต์นะ เวลาทำลายกิเลสสิ้นไปแล้ว นั้นเป็นแค่กิริยาเท่านั้น ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา ขันธ์ไง ขันธ์ ขันธ์เป็นภาระหน้าที่ที่จะต้องบำรุงบำเรอกันจนกว่าจะถึงวาระสุดท้าย ถ้าวาระสุดท้าย เพราะกิเลสมันสิ้นไปตั้งแต่วันชำระล้างกิเลส กิเลสขาดไปจากใจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมกิเลสขาดไปจากใจ นี่พระพุทธศาสนาไง

แล้วเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท้อใจๆ “จะสอนใครได้หนอ จะสอนใครได้หนอ จะสอนได้อย่างไร” นี่ไง เพราะความคิดเป็นวัตถุ ความคิดน่ะ สิ่งที่เป็นวัตถุเข้ากับนามธรรม แล้วนามธรรมเป็นอย่างไร มรรคเป็นอย่างไร ถ้ามรรคเกิดขึ้นมันมีความมหัศจรรย์ ครูบาอาจารย์ของเราท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ท่านเกิดมรรคเกิดผลขึ้นมาในหัวใจท่านถึงมหัศจรรย์ เวลามหัศจรรย์ ย้อนกลับไปพื้นฐาน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อสัตว์ขนสัตว์ อนุปุพพิกถา เรื่องทาน เรื่องศีล เรื่องภาวนา

เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเราเวลาท่านพ้นจากทุกข์ไป เวลาท่านปรารถนาจะอบรมสั่งสอนลูกศิษย์ลูกหา ข้อวัตรปฏิบัติ พุทโธทั้งวันทั้งคืน ๒๔ ชั่วโมง ๒๔ ชั่วโมงอยู่กับพุทโธตลอดเพื่อรักษาใจของตนให้ได้ โดยพื้นฐาน เพราะอะไร

เพราะเวลาคนปฏิบัติๆ มันรู้ถึงเล่ห์เหลี่ยมพลิกแพลง รู้ถึงว่ากิเลสมันกะล่อนมันปลิ้นปล้อนมันหลอกมันลวง กิเลสมันบังเงาไง ศึกษาให้มากๆ รู้ให้มากๆ แล้วอ้างได้หมดเลย ตรรกะปรัชญาเป็นสมมุติ แล้วโลกสมมุติรู้ได้ เราพูดถึงปรัชญานะ โอ้โฮ! ปรัชญาชีวิต โอ้โฮ! ซาบซึ้ง สุดยอด...แก้กิเลสไม่ได้

มรรค เวลามรรคมันจะแก้กิเลส แก้อย่างไร นี่ถ้ามันเป็นจริง คนไม่รู้ไม่เห็นพูดไม่ได้

ที่พูดมาเลียบๆ เคียงๆ พยายามศึกษาค้นคว้าแล้วก็พยายามเลียบๆ เคียงๆ การเลียบๆ เคียงๆ นั่นน่ะ ในวงปฏิบัตินะ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเราท่านบอกว่าอันนั้นอันตรายมาก สัญญา สัญญานี้อันตรายมาก คนเราผิดพลาดเพราะสัญญา สัญญาคือข้อมูลเดิม สิ่งที่เรารู้ข้อมูลภายใน รู้ข้อมูลภายในแต่ไม่ใช่ของเรา เรารู้ข้อมูลภายใน แล้วข้อมูลภายในมันจะไหลออกมาตลอด ไหลออกมาตลอดแล้วเราก็เชื่อ เพราะข้อมูลภายในไม่ใช่ข้อมูลของเรา พอบอกว่าใช่ๆๆ...นี่อันตรายมาก

คนที่ปฏิบัติแล้วไม่ก้าวหน้า ไม่ก้าวหน้าเพราะสัญญาไปรู้ข้อมูลวงในก่อน แล้วรู้ออกมาแล้วมันทำอะไรไม่ได้เพราะมันไม่ใช่ของเรา ถ้าไม่ใช่ของเรานะ เวลาครูบาอาจารย์ท่านถึงบอกว่าสัญญานี้สำคัญมาก

เวลาหลวงตาท่านพูดถึงหลวงปู่มั่น เวลาพูดถึงขณะจิต ท่านข้ามๆๆ เลย เพราะบอกไม่ได้ มันเป็นสัญญา มันเป็นการทำลายโอกาสของลูกศิษย์ของเราเอง

ลูกรักนะ ลูกของเรา เราอยากให้ลูกเราประสบความสำเร็จทั้งนั้น แต่เราก็อยากให้ลูกเราทำด้วยตัวเขาเอง ให้เขาทำงานเป็น ให้เขามีสติ ให้เขามีปัญญา ให้เขาสร้างเนื้อสร้างตัวของเขาขึ้นมา เขาจะได้รักษาสมบัติของเขาได้ เขาจะได้ชี้แจงได้ว่าสมบัติของเขาได้มาแต่ละชิ้นนี่เขาทำมาอย่างไรถึงได้สมบัติอย่างนั้น

แต่ถ้าข้อมูลภายในไปรู้นี่มันไม่รู้อะไรเลย แล้วรักษาสมบัติของตนไม่ได้ รักษาสมบัติของครูบาอาจารย์ไม่ได้ รักษาสมบัติของศาสนาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ มันจะทำตรงข้ามตรงข้ามๆ ตรงข้ามเพราะกิเลสมันบังเงา กิเลสมันพลิกแพลง กิเลสมันตลบตะแลง เวลามันตลบตะแลงขึ้นมา เราสำคัญตนว่าเรามีคุณธรรมด้วยอารมณ์ ด้วยทิฏฐิมานะ เห็นไหม โมฆบุรุษตายเพราะลาภ โมฆบุรุษตายเพราะชื่อเสียงกิตติศัพท์กิตติคุณที่เขามายกย่องสรรเสริญ พอยกย่อสรรเสริญขึ้นมากิเลสมันก็พุ่งออกมาแล้ว ตรงข้ามกับธรรมทั้งหมดเลย นั้นผู้ที่ว่าถ้ามันไม่เป็นจริงไง

แต่ถ้ามันเป็นจริงๆ นะ ทำอย่างไรก็ไม่มี ทำอย่างไรก็ไม่ได้ อกุปปธรรมๆ อฐานะที่จะไม่แปรสภาพ นี้ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง

สิ่งที่เกิดมา พระพุทธศาสนา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ศาสนาสอนถึงเรื่องอริยสัจสัจจะความจริง สัจจะความจริงข้างในหัวใจ แต่เริ่มต้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนระดับของทาน ระดับของทานระดับทั่วไป เพราะอะไร ทุกคนเกิดมาเป็นมนุษย์ ทุกคนเกิดมามันก็เป็นทารกเป็นเด็กน้อยขึ้นมาทั้งนั้นน่ะ มันก็ต้องฝึกหัดการอบรมบ่มเพาะมา

ในวงศาสนาก็เหมือนกัน ปุถุชน กัลยาณปุถุชน โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล บุคคล ๔ คู่ มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ แล้วมีใครทำได้ล่ะ ถ้ามันทำได้นะ ศาสนาพุทธของเราจะเข้มแข็ง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกมารเลย “มารเอย เมื่อใดภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาของเราเข้มแข็ง สามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วง การเจาะทำลาย พวกกระพี้เจาะศาสนา อีก ๓ เดือนข้างหน้าเราจะนิพพาน อีก ๓ เดือนข้างหน้าเราจะนิพพาน”

แต่มารดลใจแล้วดลใจอีก “มารเอย เมื่อใดภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาของเรายังไม่เข้มแข็ง ยังไม่สามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วงคำทำลายในพระพุทธศาสนานี้ เราจะไม่ยอมนิพพาน เราจะวางรากศาสนานี้ให้มั่นคง”

นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีหลักการทำมาขนาดนั้น ไอ้พวกเราอ่อนด้อย ขาอ่อนตีนอ่อน ทำสิ่งใดเอาแต่กิเลสตัณหาความทะยานอยาก เอาแต่ความมักง่าย เอาแต่ความอยากได้ เอาแต่ความปรารถนาของตน มันไม่เป็นความจริงทั้งนั้น สละออกไปเท่าไรได้เท่านั้น สละออกไปเท่าไรได้เท่านั้น กิเลสฆ่ามันเท่าไร เราชนะมันเท่านั้น เราต้องมีความเข้มแข็ง มีการกระทำของเรา นี่พระพุทธศาสนานะ

สิ่งที่เราเห็นกันอยู่นี้มันเป็นประเพณีวัฒนธรรมของชาวพุทธเรา เราทำมาเป็นประเพณีเป็นวัฒนธรรมของเรา แต่เวลาจริงๆ ขึ้นมาแล้วเราจะค้นคว้าหาใจของเรา เวลาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมาก็ต้องกลับมาประพฤติปฏิบัติในหัวใจของเรา ทำสัมมาสมาธิ คือภวาสวะ คือภพของเรา คือจิตของเรา แล้วเอาจิตของเราค้นคว้าของเรา เวลาจริงจังขึ้นมานะ ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก รู้จำเพาะหัวใจดวงนั้น แต่สอนได้ บอกได้ รู้จำเพาะแต่พูดได้

ไอ้ที่ว่ารู้จำเพาะใจของตน ตนสอนไม่ได้ๆ

สอนไม่ได้ เอ็งก็ไม่รู้ไง เอ็งบอกมาสิวิธีการ เห็นไหม พระสารีบุตรพูดกับพระอัสสชิไง “มีความรู้น้อยก็ไม่เป็นไร ก็พูดมา หน้าที่ใช้ปัญญาแทงตลอดในกิเลสนั้นเป็นหน้าที่ของเกล้ากระผม” พระสารีบุตรจะแทงทะลุกิเลสในใจของท่านเอง พระอัสสชิแสดงธรรม “ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ” เราเกิดมาจากไหน เราทุกข์ยากเพราะอะไร เราจะแก้ไขอย่างไร ถ้าแก้ไขนะ มันต้องแก้ไขย้อนกลับมาที่นามธรรมนี้ จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เอวัง